|
มหัศจรรย์แห่งกลไกแสงและเสียง
อีกแบบหนึ่งที่สามารถสร้างปืนกลแบบใหม่ได้ทั้ง
ความรู้และความสนุก
ทั้งผู้สร้างและผู้เล่น
|
ปืนอินฟราเรดแสนกล
ปืนอินฟราเรดแสนกล
ปืนอินฟราเรด
แสนกล
|
|
แนวการออกแบบ จากนิตยสาร
Hobby Electronics ปีที่ 11 ฉบับที่ 127 ม.ค. 2546
โครงงานที่นำเสนอนี้
ท่านผู้อ่านอย่าพึ่งกลัวนะครับ เพราะสิ่งประดิษฐ์ที่ผมทำขึ้นมานี้เป็นเพียงของเล่นครับ
ระบบต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นก็ใช้แบบจำลองหรือใช้วัตดุอื่นแทนทั้งหมดเช่น
ระบบของการยิงซึ่งจะแสดงผลเป็นหลอดไฟสีแดงหรือเรียกตามภาษาช่างว่า
แอลอีดี (LED) ส่วนในระบบเลเซอร์นั้น ผมขอใช้เป็นหลอดไฟสีแดง
แต่เป็นหลอดสีแดงแบบที่เรียกกันว่า หลอดแอลอีดีซุปเปอร์ไบต์
และในระบบนำวิถีก็ใช้เป็นหลอดภาครับ ภาคส่งที่เป็นแบบอินฟาเรดครับ
ในแนวทางการออกแบบของผมเกิดจากการนำเอาระบบแสงเสียงและระบบการขับมอเตอร์มารวมกัน
โดยที่ในระบบของการยิงนี้จะมีการขยับซ้ายขวาได้ เมื่อวัตถุใด
ๆ เข้ามาสู่วิถีของการตรวจจับ ระบบจะทำการหยุดและยิงโดยการยิงจะแสดงผลออกมาทางแอลอีดี
2 หลอด โดยกระพริบแบบสลับกันและมีเสียงออกมาทางลำโพงแบบบัตเซอร์
เมื่อวัตถุได้หลุดออกจากวิถีการตรวจจับระบบก็จะหยุดยิงทันทีและทำให้ภาคขับมอเตอร์มีการเคลื่อนที่สลับซ้ายขวาทันที
ต่อไปมาดูการทำงานของบล็อกไดอะแกรมของโครงงานนี้กันเลยนะครับ
โดยผมขอเริ่มจากที่เราจะทำการส่งแสงอินฟาเรดออกมาโดยใช้การแพร่เสมือนการหยดหมึกลงในน้ำ
ซึ่งภาครับแสงอินฟาเรดจะทำหน้าที่เป็นประตูด่านแรกถ้าไม่มีวัตถุใด
ๆ มากระทบส่วนควบคุมการทำงานก็จะสั่งขับมอเตอร์ให้มีการหมุนซ้ายขวาสลับกันไป
เมื่อวัตถุเคลื่อนที่เข้ามาในระยะที่แสงอินฟาเรดสามารถตรวจจับได้
โดยตัวตรวจจับที่ออกแบบไว้ได้ไกลประมาณ 10 เซนติเมตร ภาครับจะทำให้หลอดแอดอีดีที่ใช้เป็นระบบนำทางดับและส่งข้อมูลให้กับส่วนควบคุมการทำงาน
เมื่อในส่วนควบคุมการทำงานได้รับข้อมูลแล้ว จะสั่งให้ระบบการขับมอเตอร์หยุดการทำงานทันที
พร้อมกันนั้นจะทำให้ระบบการยิงแสงออกมาทางแอลอีดี และระบบการสร้างเสียงการยิงจะทำงานทันทีเช่นกัน
และจะทำงานเช่นนี้จนกระทั่งวัตถุที่ตรวจจับได้ ได้หายไป ส่วนบล็อกการทำงานอีก
2 บล็อกที่เหลือใช้ในการปรับความเร็วของมอเตอร์ การกระพริบของแอลอีดีและเสียง
|
รูปที่ 1 บล็อกไดอะแกรมแสดงการทำงาน
|
โครงสร้างและชิ้นส่วนประกอบ
รูปที่2(ก) คือส่วนฐานหมายเลข
1 ลักษณะของส่วนฐานเราจะใช้แผ่นพลาสติกที่มีขนาดความหนา 5 มิลลิเมตร
ตัดให้เป็นรูปวงกลมโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 15 เซนติเมตร
จากนั้นทำการวัดออกมาจากจุดศูนย์กลางให้มีขนาดของเส้นรัศมี 0.9
เซนติเมตร
ทั้งสองด้านแล้วเจาะรูด้านละจุด โดยขนาดของรูที่เราเจาะจะใช้ขนาดของดอกสว่าน
3 มิลลิเมตร ดังรูป
รูปที่2(ข) คือส่วนฐานสำหรับติดแผงวงจร ส่วนนี้เราจะใช้พลาสติกที่มีความหนา
3 มิลลิเมตรตัดออกมาโดยให้มีขนาด ความกว้าง 7 เซนติเมตร ความยาว
13 เซนติเมตร จากนั้นทำการเจาะรูดังรูปเพื่อทำการยึดนอตสำหรับติดแผงวงจร
โดยแต่ละจุดจะทำการเจาะรูโดยใช้ดอกสว่านขนาด 3 มิลลิเมตร แต่สำหรับบริเวณจุดที่ใช้ติดสวิตช์เราจะใช้ดอกสว่านที่มีขนาด
6 มิลลิเมตรเจาะรู ดังรูป
รูปที่2(ค) คือแผ่นพารามีเซียม (สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องเขียนทั่วไป)
เราจะใช้มาเป็นตัวรองส่วนฐานหมายเลข 1 โดยให้ตัดออกมาเป็นทรงกลมให้มีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลาง
13.8 เซนติเมตร ตัดออกมาจำนวน 2 แผ่น แผ่นพารามีเซียมที่เราใช้จะมีคุณสมบัติคล้ายแผ่นยาง
โดยจะมีความหนืดและสามารถยึดติดกับพื้นได้ดี จะไม่ทำให้ชิ้นงานของเราขยับเขยื่อนเคลื่อนที่ไปมาเวลาเปิดสวิตซ์
|
รูปที่2(ง)
คือส่วนฐานหมายเลข 2 สำหรับยึดแกนหมุน ในส่วนนี้เราจะใช้พลาสติกที่มีขนาดความหนาขนาด
10 มิลลิเมตร วัดออกมาเป็นรูปวงกลมโดยให้มีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลาง
3 เซนติเมตร แล้วเจาะรูตรงจุดศูนย์กลางจากนั้นวัดออกมาจากจุดศูนย์กลางโดยมีรัศมี
0.9 เซนติเมตรจากนั้นเจาะรูทั้งสองข้างดังรูป
จากนั้นให้เจาะรูที่ด้านข้างของขอบวงกลม ลักษณะของการเจาะต้องเจาะให้ทะลุถึงอีกด้านหนึ่งของขอบวงกลม
ในการเจาะรูส่วนนี้เราจะใช้น๊อตขนาด 3 มิลลิเมตรจำนวน 2 ตัว ใส่เข้าไปด้านละหนึ่งตัวเพื่อเป็นตัวล็อคแกนให้แน่น
ขนาดของรูที่เราทำการเจาะจะใช้ดอกสว่านขนาด 2.5 มิลลิเมตรเจาะ
จากนั้นให้ใช้ตัวดราฟเกลียวขนาด 3 มิลลิเมตร ทำการดราฟเกลียวทั้ง
2 จุด (สามารถหาซื้อตัวดราฟเกลียวได้ตามร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างทั่วไป) |
|
|
|
|
|
|
|
มีต่อ... |